การศึกษาธรรมะมีความคล้ายคลึงกับการศึกษาMBAอย่างไร?
การอ่านหนังสือธรรมะก็เหมือนการศึกษาBusiness Theories
การศึกษาประวัติพระอริยสงฆ์ก็เหมือนฝึกทำ Case Studies
การนั่งสมาธิ ฝึกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ทำบุญ ทำทาน รักษาศีล ก็เหมือนกับการ Runs Business”---prang9999
Quotationนี้คิดได้เมื่อคืน ตอนที่กะลังอ่านประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่เขียนโดยหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อก่อนนี้เวลาที่ยังไม่เคยทำครบทั้งสามอย่าง เวลาใครมาพูดว่า “อย่าไปสนใจอ่านเลยหนังสือธรรมะ แกจะรู้ประวัติพระอาจารย์ไปทำไม นั่งสมาธิอย่างเดียวดีกว่า”หรือบางคนอาจพูดว่า “แกนั่งยังไงก็ไม่ถึงหรอก พระที่สำเร็จเค้าบำเพ็ญมาหลายชาติแล้ว ไอ้เราแค่ศึกษาธรรมะไว้ก็พอ ทำเท่าที่ทำได้ เรามันเป็นแค่ฆารวาส” ---ประโยคเหล่านี้ก็มีคนพูดเหมือนกันในวงการธุรกิจเช่น “อย่าไปลงไปเรียนเลยเสียเวลา สู้ออกทำมาหากินเลยดีกว่า ได้เงินเห็นๆ” หรือ “คนทำธุรกิจแล้วรุ่งมีแค่หยิบมือ เรามันคนธรรมดา เรียนให้จบทำงานหาเงินได้ก็พอ” ทั้งหมดนี้น่าเชื่อมาก ผู้เขียนก็เคยเกือบเชื่อไปแล้ว โดยเฉพาะเวลาเราเป็นเด็กตาดำๆอ่อนประสปการณ์ เรื่องประโยคที่ยกมานี้ไม่ได้ต้องการบอกว่าใครผิดใครถูก แต่ว่าผู้ฟังจะต้องรักษาปกป้องความดีงามในตัวเองอย่าให้คลื่นลมในทะเลทุกข์มาโหมกระหน่ำเข้าในชีวิตได้อย่างคลื่นสึนามิทำลายญี่ปุ่น อย่างที่ท่านสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้ใตร่ตรองก่อนจะเชื่อสิ่งต่างๆ (ความเชื่อในพระพุทธศาสนา อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.songpak16.com/aticle/sattha.html)
ประเด็นก็คือว่า ทุกอย่างมีคุณค่าในตัวมันเองอย่าพึ่งไปตัดสินถ้ายังไม่ได้ลองลงมือทำอย่างจริงจังจนครบทุกอย่าง 1.) ในการศึกษาธรรมะซึ่งชาวพุทธทุกคนก็คงรู้อยู่แล้วว่าสำคัญอย่างไร กล่าวย่อๆก็คือถ้าไม่มีหลักการที่ที่ถูกต้องไว้เป็นแนวทางแล้วเวลาปฎิบัติจะทำให้ถูกได้อย่างไร แล้วถึงเวลาที่ตัวเองทำถูกแล้วมีคนมาถามจะเอาอะไรไปอธิบายให้เค้าเข้าใจแบบสากล ฯลฯ 2.)ในการศึกษาประวัติพระอริยสงฆ์ มันน่าทึ่งมากเหมือนการทำ business case studyต่างๆ ซึ่งเราจะเห็นข้อดีน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ข้อที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญเหมือนกัน และข้อผิดพลาดที่เพลาดกันตรงไหน เค้าทำอย่างไรถึงจะเอาชนะข้อผิดพลาดนั้น พลิกเกมส์กลับมาเป็นผู้ชนะได้แถมยังได้รู้เคล็ดเกร็ดวิชาที่มีผู้ปฎิบัติก่อนหน้าศึกษาได้ผลมาเป็นปีๆ เราไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่เอาเองทุกอย่าง ยกตัวอย่างประสบการ์ตรงก็คือ ตอนสมัยเป็นเด็กนักเรียน โรงเรียนเคยพาไปนั่งสมาธิในโบสถ์วัดพระแก้ว วันนั้นแปลกมากหลับตาก็เหมือนลืมตาเห็นพระแก้วมรกตชัดมาก พอครูบอกให้เลิกนั่ง ถึงจะสงสัยก็ไม่รู้จะไปถามใคร ด้วยความเป็นเด็กขี้เกียจ ก็ลืมๆมันไป พอได้มาอ่านประวัติหลวงหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงแล้ว เวลาท่านหลับตาก็เหมือนลืมตาเห็นพระพุทธรูปในบ้านเช่นกัน แต่ว่าท่านมีบุญหนุนนำ มีผู้ชี้แนะ และขยันทำตามมากกว่า ท่า working on it ฝึกไปเรื่อยๆจนกลายเป็นว่าเป็นการฝึกกสิณโดยอัตโนมัติและได้ณาน ถอดกายทิพย์ได้ตั้งแต่เด็กเลยทีเดียว (ถึงตรงนี้บางคนอาจะคิดในใจว่างมงาย ผู้เขียนก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน ขอให้ท่านศึกษาต่อไปและท่านจะเข้าใจเอง) ตัวอย่างนี้ถ้าเป็นทางธุรกิจเค้าเรียกว่าเสียโอกาสทางการค้าเพราะความไม่รู้ 3.) สุดท้ายปฎิบัติซึ่งสำคัญมาก กล่าวได้สั้นๆคือ ถ้าไม่ทำก็ไม่มีวันสำเร็จแน่นอน
อธิบายซะยืดยาวซะเหมือนพระเทศน์เชียวเรา ความจริงต้องขออภัย ข้าน้อยมิอาจเอื้อม เพียงแค่ต้องการจะสื่อว่าเราชาวพุทธควรศึกษาให้ถึงแก่นแท้ของศาสนา ใช้เวลาอ่าน คิด ถาม เขียน ปฏิบัติ อย่างจริงจังลึกซื้งก่อนจะไปตัดสินอะไรง่ายๆและตัดสินคนอื่น เพราะโดยส่วนตัวคิดว่าถ้าปฏิบัติกันจริงๆแล้วจะไม่มีการมานั่งจิตตกมองหน้าถามกันว่า ทำไมทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป และจะได้ไม่เสียชื่อเวลามีคนต่างชาติต่างศาสนามาถามว่าทำไมเธอถึงเป็นพุทธ เราะจะได้อธิบายอย่างละเอียด ให้คำตอบที่เป็นแสงสว่างกับชีวิตเค้าได้ เพราะหลังจากหาโอกาสทำได้เริ่มทำทั้งสามอย่างแล้ว รู้สึกว่าทุกอย่างนอกจากมีคุณค่าอย่างสูงแล้ว ยังมีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วยค่ะ
ดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม1 : Download? (140 kb)
ดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม2 : Download? (140 kb)
ดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม3 : Download? (140 kb)
ดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม4 : Download? (140 kb)
ดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม5 : Download? (140 kb)
ดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม6 : Download? (140 kb)
ดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม7 : Download? (140 kb)
ดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม8 : Download? (140 kb)
เขียนเมื่อ
23 มกราคม 2555 | อ่าน
2520
เขียนโดย
พระมหาวิชาญ สุวิชาโน
|