“...หลังจากที่คุณสตีฟ จ็อบส์เสียชีวิตแล้ว เขามีความรู้สึกเหมือนวูบไปแล้วก็ตื่นขึ้นบนเตียงซึ่งตั้งอยู่กลางวิมานอันเป็นที่อยู่อาศัยของเขา...เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจ ประหลาดใจกับทุกสิ่งรอบๆ ตัว...อาการเจ็บปวดจากโรคมะเร็งของเขาหายไป เขาดูหนุ่มขึ้น หล่อขึ้น เหมือนมีอายุประมาณ 35 ปี...เตียงที่ใช้นอนเรียบหรูดูดีมีสไตล์ แถมยังลอยได้อีกด้วย...”
นี่คือข้อความบางส่วนที่ปรากฏในสารคดีชื่อ “Where is Steve Jobs” เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ DMC ของวัดพระธรรมกาย โดยพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายบรรยายฉากชีวิตหลังความตายของสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ใจความสำคัญอีกคือ “สตีฟ จ็อบส์ ในขณะที่จะตายนั้น จิตใจมีแต่ความเป็นห่วงบริษัทแอปเปิลในอนาคต จึงทำให้ไปจุติเป็นภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์มีผิวดำและเขี้ยวเป็นยักษ์ แต่ด้วยผลบุญที่ได้คิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ให้แก่โลก จึงทำให้เขาได้พบมิตรที่ดีบนสวรรค์ และสตีฟ จ็อบส์ จึงตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อเข้าถึงธรรมกายต่อไป…” ซึ่งก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างกว้างขวาง ผมเองมีความเห็นบางประการต่อไปนี้
ก.ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับประเด็นพระธรรมวินัย
1.ประเด็นปัญหานี้ เป็นประเด็น “ข้อเท็จจริง” และ “หลักการ” ไม่ใช่ประเด็นของ “การตีความ” คำสอนของพุทธศาสนา ข้อเท็จจริงคือปรากฏหลักฐานว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายบอกว่าตนเองรู้เรื่องราวชีวิตหลังความตายของสตีฟ จ็อบส์ ข้อเท็จจริงนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหลักการ คือวินัยสงฆ์ที่บัญญัติเกี่ยวกับ “อาบัติปาราชิก” ข้อที่ 4 ไว้ว่า “ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องอาบัติปาราชิก” ขาดจากความเป็นพระ หากอวดอุตตริมนุสสธรรมที่มีอยู่จริงก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ จากหลักวินัยบัญญัตินี้ ถ้าการเล่าเรื่องชีวิตหลังความตายของสตีฟ จ็อบส์เป็นเท็จ ก็ต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระ ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์
การกระทำผิดวินัยสงฆ์นี้เป็น “ความผิดสำเร็จ” เมื่อพูดออกไป ส่วนกระบวนการสอบสวนเอาผิดโดยคณะสงฆ์เป็นเป็นกรรมวิธีดำเนินการเพื่อสรุปพยานหลักฐานและตัดสินให้ผู้กระทำรับผิดตามที่วินัยบัญญัติไว้ ฉะนั้น แม้คณะสงฆ์จะไม่รู้ หรือละเว้นการดำเนินการ ผู้กระทำย่อมต้องอาบัติไปแล้วตั้งแต่ที่ได้กระทำความผิดสำเร็จ
“อุตตริมนุสสธรรม” คือความสามารถพิเศษที่เหนือวิสัยของคนธรรมดาทั่วไป เช่นมีญาณวิเศษหยั่งรู้ภพชาติต่างๆ ได้ กรณีเจ้าอาวาสวัดพรธรรมกายรู้เรื่องชีวิตหลังความตายของสตีฟ จ็อบส์ หากเป็นจริงก็ต้องเป็นเรื่องที่รู้ด้วยญาณวิเศษเท่านั้น ไม่ใช่รู้ด้วยวิธีการอย่างสามัญมนุษย์ที่สามารถตรวจสอบได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (หรืออย่างเป็นสาธารณะ เหมือนการพิสูจน์น้ำเดือดที่ระดับอุณหภูมิ 100 องศาฯ เป็นต้น) แต่ไม่ว่าท่านจะมีญาณวิเศษจริงหรือไม่ก็ผิดวินัยสงฆ์อยู่ดี ถือถ้าไม่มีจริงก็ต้องอาบัติปาราชิก ถ้ามีจริงก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ปัญหาคือ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายทำนายชีวิตหลังความตายของบุคคลต่างๆ ออกทีวีมาอย่างยาวนาน ซึ่งถ้าท่านรู้ด้วยญาณวิเศษจริงๆ การอวดอุตตริเช่นนั้นก็เป็นการกระทำผิดซ้ำๆ คือ “ต้องอาบัติปาจิตตีย์เป็นอาจิณ” แต่ตามหลักพุทธศาสนานั้นการละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณไม่ใช่คุณสมบัติของพระอริยบุคคลซึ่งต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานขั้นต่ำสุดคือ “มีศีลสมบูรณ์” คือไม่ต้องอาบัติ หรือไม่ทำผิดวินัยข้อใดๆ เลย
2. บางคนบอกว่าต้องมีเสรีภาพให้ตีความวินัยสงฆ์เป็นอย่างอื่นได้ แต่ถ้าทำได้เช่นนั้นปัญหาที่ตามมาคือ พระดื่มเหล้า พระมีเมีย ฯลฯ ก็สามารถอ้างเสรีภาพที่จะดีความได้ว่าไม่ผิดวินัยสงฆ์ หรือในทางโลกอาจารย์ที่เรียกร้อง “เซ็กส์แลกเกรด” กับนักศึกษาก็อ้างได้ว่าไม่ผิดจรรยาบรรณเพราะเป็นเสรีภาพ
วัดพระธรรมกายนั้นเป็นพุทธนิกายเถรวาทจึงต้องอยู่ภายใต้พระธรรมวินัยของเถรวาท แน่นอนว่า พุทธศาสนาก็มีหลายนิกาย ในญี่ปุ่นบางนิกายพระมีเมียได้ แต่เขาก็มีกฎของเขาต่างหากที่แต่ละนิกายต่างก็ไม่ก้าวก่ายกัน แต่หลักๆ คือนิกายเดียวกันต้องปฏิบัติวินัยสงฆ์แบบเดียวกันที่เรียกว่า “สีลสามัญญตา” แปลว่าเสมอกันโดยศีล เทียบกับทางโลกก็คือมีความเสมอภาคทางกฎหมายนั่นเอง
3. ถามว่าพุทธศาสนาไม่ให้เสรีภาพในการตีความพระธรรมวินัยที่แตกต่างกันเลยหรือ ตอบว่าพุทธศาสนาให้เสรีภาพเช่นนี้มาเป็นพันๆ ปี จนมีการแยกเป็นนิกายต่างๆ เป็นร้อยๆ นิกาย แต่หลายนิกายก็สูญหายไปยังเหลือแต่นิกายใหญ่ๆ เสรีภาพในการตีความต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั้นเห็นได้จาก “เสรีภาพในการแยกนิกาย” เช่นนิกาย ก.เห็นว่าพระเสพเมถุน (มีเพศสัมพันธ์) ผิด เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งในนิกายนั้นเสนอว่าพระมีเมียได้ไม่ผิดทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้น จึงออกไปตั้งนิกายใหม่คือ นิกาย ข. แล้วต่างนิกายก็ต่างอยู่ เหมือนสันติอโศกเมื่อไม่ยอมรับกฎของเถรวาทแบบที่คณะสงฆ์ไทยยึดถือ เขาก็ออกไปตั้งกลุ่มของเขาเองและสอนตามแนวทางของเขาไป เขาก็อยู่ของเขาได้ตราบที่ยังมีผู้ศรัทธาในแนวทางของเขา
ฉะนั้น หากมองจากเสรีภาพในการแยกนิกายที่ยึดการตีความคำสอนต่างกันเป็นกรอบการปฏิบัติของนิกายตนเอง พุทธศาสนาก็ไม่ได้ขัดแย้งหลักเสรีภาพในการนับถือศาสนา หรือการตีความคำเสนอทางศาสนา เพียงแต่สมาชิกในแต่ละนิกายไม่สามารถอ้างเสรีภาพที่จะทำผิดกฎของนิกายตนเองได้เท่านั้น ซึ่งนี่เป็นหลักการทั่วไปของทุกสถาบัน หรือทุกองค์กรทางสังคม
4. การปกป้องไม่ให้ดำเนินการไต่สวนทางวินัยสงฆ์กับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ด้วยข้ออ้างที่ว่า มีพระรูปอื่นๆ แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จำนวนมาก ทำไมไม่ดำเนินการนั้น ย่อมไม่ต่างอะไรกับการพบว่านายแดงกำลังทำการหลอกลวงต้มตุ๋นประชาชนแต่ไม่ควรดำเนินการใดๆ กับเขาจนกว่าจะไปดำเนินการกับนักต้มตุ๋นคนอื่นๆ ให้ได้ทั้งหมดก่อน ข้ออ้างเช่นนี้จึงไม่สมเหตุสมผล แน่นอนว่าพระรูปอื่นๆ ที่ทำอะไรโจ่งแจ้งในทางอวดอุตตริก็ต้องถูกดำเนินการในมาตรฐานเดียวกัน แต่การที่ยังไม่ได้ดำเนินการ หรือเคยมีการละเลยที่จะดำเนินการ ย่อมไม่ใช่เหตุผลที่จะสรุปได้ว่าไม่ควรเรียกร้องให้ไต่สวนเอาผิดกับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายที่ละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ
5. ยิ่งกว่านั้นการออกมาปกป้องว่ามหาเถรสมาคมไม่ควรใช้อำนาจรังแกธรรมกาย ยิ่งเป็นการปกป้องที่ผิดจากข้อเท็จจริง เพราะความสัมพันธ์ของมหาเถรสมาคมกับวัดพระธรรมกายมีลักษณะเอื้อประโยชน์ต่อกันมากกว่าที่จะมีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเหมือนในกรณีพระเกษม หรือสันติอโศก
ข. ประเด็นการประยุกต์พุทธธรรมจากพระไตรปิฎก
แน่นอนว่า วัดพระธรรมกายย่อมจะอ้างพระไตรปิฎกมาสนับสนุนการกระทำของตนเอง (เช่นอ้างว่ามีข้อมูลในพระไตรปิฎกว่าพระอรหันต์บางรูปก็มีญาณวิเศษรู้ชีวิตหลังความตาย เป็นต้น) แต่ผมมีข้อสังเกตว่า ปัญหาจารีตการอ่านพระไตรปิฎก (หรือการศึกษาพุทธศาสนา) ของเถรวาทในบ้านเราคือ การมีสมมติฐานว่า “ข้อความทั้งหมดในพระไตรปิฎกคือเรื่องจริง” หรือเป็นข้อเท็จจริง ฉะนั้น เรื่องราวเกี่ยวกับเทวดา สวรรค์ นรก ปาฏิหาริย์ต่างๆ คือเรื่องจริง
แต่สังเกตไหมครับ เวลาที่พวกเราชาวพุทธไปอ่านนิทานอีสปเราเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงไหมว่า ช้างพูดได้ ลิงพูดได้ เราอ่านเพื่อหาสาระว่า “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...” เหมือนเราอ่านคัมภีร์ภควัตคีตาของฮินดู เราไม่สนใจหรอกว่าตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่อง เช่น พระกฤษณะ ร่ายโศลกปลุกใจอรชุนให้ทำหน้าที่กษัตริย์สู้รบนั้น มันเป็นข้อเท็จจริงไหมว่าเทพอวตารกับคนกำลังสนทนากัน แต่เราสนใจเพียงว่าแก่นสาระหรือปรัชญาของโศลกนั้นคืออะไร เหมือนที่อ่านบทสนทนาหรือข้อโต้แย้งต่างๆ ของโสเครตีสที่แต่งโดยเพลโต เราไม่ไปตั้งคำถามว่าตัวละครนั้นๆ ที่โต้เถียงกับโสเครตีสมีจริงหรือไม่ เราสนใจ “เนื้อหา” ที่เขาสนทนาโต้เถียงกันเป็นหลัก